ประเภทผิวหน้า
1.ผิวมัน (Oily Skin)
ปัญหา ผิวมัน (Oily Skin) เป็นสภาพผิวที่สามารถพบได้มาก ผิวมันบนใบหน้ามีหลายแบบ บางคนอาจจะมีผิวมันเฉพาะบริเวณ T-zone หรือบางคนอาจจะผิวมันเฉพาะจุด เช่น ผิวมันบริเวณหน้าผาก, จมูก, คาง, แก้ม หรือบางคนอาจจะมีผิวมันทั่วทั้งบริเวณใบหน้าและร่างกาย
ลักษณะของผิวมันที่สามารถสังเกตได้ง่าย คือ ผิวมันเร็วระหว่างวัน ผิวดูมันวาว บางครั้งอาจจะดูมันเยิ้ม ส่วนใหญ่ของคนที่มีผิวมันมักแต่งหน้าไม่ค่อยติด หรือ หน้าเยิ้มเครื่องสำอางหลุดระหว่างวัน เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนและเหงื่อไคล ทำให้ต้องคอยใช้กระดาษซับความมันซับช่วยน้ำมันออกระหว่างวัน
โดยปกติแล้วมนุษย์ทุกคนมีต่อมไขมัน (Sebaceous glands) อยู่ภายใต้ผิวหนัง ทำหน้าที่ผลิต Sebum ออกมา แต่สำหรับผู้ที่มีผิวมันสาเหตุหนึ่งมาจากต่อมไขมันผลิต Sebum ออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดความมันบริเวณผิวหนัง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหาผิวหน้าต่างๆ เช่น รูขุมขนอุดตัน, สิวอุดตัน และ สิวอักเสบได้
Fact : Sebum ผลิตจากต่อมไขมัน ทำหน้าที่ดูแลปกป้องผิว คอยให้ความชุ่มชื้นแต่ผิวหนัง แต่ถ้าหากต่อมไขมันผลิต Sebum ออกมามากเกินไป จะทำให้หน้ามัน และเกิดการอุดตันภายในรูขุมขนจนเกิดปัญหาสิวตามมาได้
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสาเหตุ ที่ทำให้เกิดผิวมัน ได้แก่
-
พันธุกรรม
หากคนในครอบครัวของคุณมีประวัติผิวมัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือคนใดคนหนึ่งที่มีผิวมัน อาจจะทำให้คุณมีผิวมันได้เช่นเดียวกัน
-
รูขุมขนกว้าง
รูขุมขนสามารถยืดขยายได้เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น หรือเมื่อน้ำหนักตัวผันผวน ซึ่งสามารถทำให้รูขุมขนกว้างมากขึ้น การที่รูขุมขนกว้างทำให้มีแนวโน้มที่ต่อมไขมันจะผลิต Sebum มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นคนที่มีรูขุมขนกว้างส่วนใหญ่จึงมีผิวมัน เนื่องจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากกว่าคนทั่วไป นอกจากหน้ามันแล้ว รูขุมขนกว้างยังทำให้เกิดปัญหาสิวตามมาอีกได้
-
สภาพแวดล้อม
แม้ว่าพันธุกรรมและอายุจะเป็นสาเหตุหลักของผิวมัน แต่สภาพแวดล้อมยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดผิวมันได้เช่นกัน โดยปกติแล้วคนเรามักจะมีผิวมันเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น ทำให้ในช่วงฤดูร้อนจะมีผิวที่มันมากกว่าช่วงฤดูหนาว
-
ล้างทำความสะอาดหน้าบ่อยเกิน
การล้างหน้าหรือการสครับผิวหน้าบ่อยจนเกินไป สามารถทำให้ผิวมันได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าจุดประสงค์ในการล้างหน้าเพื่อช่วยขจัดความมันบนผิวหน้า แต่การล้างหน้าบ่อยเกินไปสามารถทำให้ผิวแห้งได้ เมื่อผิวแห้งจะทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาเพื่อทดแทนความชุ่มชื้นที่หายไป และทำให้ผิวหน้ามีความมันมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมอื่น ที่สามารถทำให้ผิวมันได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความเครียด, การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ได้มาตรฐาน
วิธีดูแลผิวสำหรับผิวมัน
แม้ว่าผิวมันสาเหตุหลักจะมาจากพันธุกรรม ซึ่งป้องกันได้ยาก แต่คุณสามารถบรรเทาอาการและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อลดความมันของผิวลง สำหรับผู้ที่มีผิวมัน หน้ามันเยิ้มระหว่างวัน แต่งหน้าไม่ค่อยติด หรือต้องคอยซับหน้าตลอดทั้งวัน ควรปฏิบัติตาม ดังนี้
1.ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมันบนผิวหน้า
2.ล้างทำความสะอาดผิว 2 ครั้งต่อวัน เพื่อป้องกันไม่ให้หน้าแห้ง เนื่องจากการล้างหน้าสามารถทำให้ความชุ่มชื้นลดลง เมื่อความชุ่มชื้นที่ผิวไม่พอ ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันออกมาทดแทนความชุ่มชื้นที่ขาดไป ซึ่งทำให้หน้ามันเยิ้ม
3.มาส์กหน้า การมาส์กช่วยควบคุมความมันได้ ควรเลือกใช้มาส์กที่มีส่วนผสมของ Clay, Mectite, Bentonite, น้ำผึ้ง และ ข้าวโอ๊ต ที่มีคุณสมบัติช่วยควบคุมความมันบนผิว ช่วยทำความสะอาดผิว และปลอบประโลมผิว
4.ใช้สกินแคร์ หรือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของ Moisturizers ปราศจากน้ำมัน (Oil free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non – comedogenic) สามารถช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ความมันบนผิวก็ลดลงตามเช่นเดียวกัน เนื่องจากต่อมไขมันไม่จำเป็นต้องผลิตน้ำมันมาทดแทนความชุ่มชื้น
5.สามารถใช้กระดาษซับมัน ช่วยซับน้ำมันส่วนเกินบนหน้าระหว่างวัน แต่ไม่ควรซับบ่อยจนเกินไป
6.ได้ สำหรับผู้ที่มีผิวมันมาก แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง เพื่อตรวจหาสาเหตุและวิธีรักษาที่เหมาะกับสภาพผิวหน้าของแต่ละคนมากที่สุด

2. ผิวแห้ง (Dry skin)
ลักษณะของผิวแห้งสามารถสังเกตได้ จากความรู้สึกผิวหน้าแห้งตึงหลังล้างหน้า หรือผิวหน้ามีการแตกลอกเป็นขุย ผิวหยาบกร้าน หากผิวแห้งมากๆ อาจจะมีอาการแสบคันร่วมด้วย โดยปกติแล้วผิวหน้าแห้งมักเกิดขึ้นชั่วคราวหรือตามฤดูกาล ปัญหาผิวแห้งมักเกิดบริเวณใบหน้า แขน และขา
ซึ่งสาเหตุของอาการผิวแห้งมาจากที่ผิวหนังสูญเสียน้ำมากเกินไป ทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น และผิวแห้งจากการระคายเคืองจากสารเคมีบางชนิด เช่น สารฟอกขาว หรือ นิกเกิล เป็นต้น นอกจากนี้ยังปัจจัยอื่นที่ทำให้กลายเป็นผิวแพ้ง่าย ได้ดังนี้
-
อายุ
ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะมีผิวแห้งกร้านมากกว่าวัยรุ่น เมื่ออายุมากขึ้นทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันออกมาน้อยลง ทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นและแห้งกร้านได้ง่าย
-
การใช้ยาบางชนิด
ในกรณีการใช้ยาบางชนิด ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ, ผื่นแพ้สัมผัส หรือโรคภูมิแพ้อื่นๆ มีโอกาสที่มีผิวแห้งมากกว่าคนปกติ นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคไต และต่อมไทรอยด์ รวมไปถึงผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด และผู้รับประทานยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอจะมีผิวแห้งมากกว่าคนทั่วไป
-
สภาพอากาศ
อาการผิวแห้ง ผิวหน้าแตก หรือลอกเป็นขุยถือเป็นเรื่องปกติในฤดูหนาว เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้ง และระดับความชื้นต่ำ ทำให้ในฤดูหนาวคนส่วนใหญ่มักมีอาการผิวหนังลอกเป็นขุย ผิวแตกลาย และผิวแห้งกร้านมากกว่าในฤดูอื่นๆ
-
ทำความสะอาดร่างกายบ่อยเกินไป
การอาบน้ำและล้างหน้าบ่อยๆ สามารถทำให้หิวแห้งได้ เนื่องจากการทำความสะอาดผิวจะล้างเอาน้ำมันและความชุ่มชื้นบางส่วนออกไป ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวแห้ง แนะนำควรทำความสะอาดใบหน้าเพียง 2 ครั้งต่อวันเท่านั้น นอกจากนี้การทำความสะอาดใบหน้าด้วยน้ำอุ่น ความร้อนจากน้ำจะทำให้รูขุมขนเปิดและทำให้ผิวหน้าเสียความชุ่มชื้นมากเกินไปจนเป็นสาเหตุของผิวแห้ง ลอกเป็นขุย
วิธีดูแลผิวสำหรับผิวแห้ง
สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมากแนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาได้ทัน เนื่องจากการที่ผิวแห้งมาก ผิวหนังสามารถแตกออกและมีเลือดออกตามรอยแตกได้ แต่สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งรุนแรงเล็กน้อยถึงปานกลาง สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ เพื่อบรรเทาอาการและช่วยให้ผิวหน้ากลับมาสุขภาพดี ได้ดังนี้
1.ทาผลิตภัณฑ์หรือสกินที่มีส่วนผสมของ Moisturizer ทันที หลังอาบน้ำเสร็จ
2.หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนล้างทำความสะอาดบริเวณที่ผิวแห้ง
3.หลีกเลี่ยงการขัดหรือถูแรงบริเวณที่ผิวแห้ง เนื่องจากการขัดหรือถูสามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำให้สภาพผิวแย่กว่าเดิม
4.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือสกินแคร์ที่เพิ่มความชุ่มชื้น หรือ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ หากผิวแห้งมากสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของปิโตรเลียม, กรดแลคติก, กลีเซอรีน หรือ เชียบัตเตอร์ได้
5.หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เนื่องจากน้ำหอมสามารถทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคืองได้
6.เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับห้องหรืออากาศ โดยใช้เครื่องทำความชื้นช่วย เพื่อให้ผิวหน้ากักเก็บความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา

3. ผิวผสม (Combination skin)
ผิวผสมเป็นผิวหน้าที่สามารถพบได้บ่อย สามารถสังเกตลักษณะของผิวผสมได้ คือ มีผิวมันในบางจุดและมีผิวแห้งลอกเป็นขุยในบางจุด ซึ่งบริเวณที่มีผิวมันมักเป็นบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) จะมีความมันมากกว่าบริเวณอื่น เนื่องจากบริเวณ T-zone มีต่อมไขมันเป็นจำนวนมาก และบริเวณที่ผิวแห้งมักจะเป็นบริเวณแก้ม กราม และตามแนวไรผม
สาเหตุหลักของผิวผสมมาจากพันธุกรรม หากคนในครอบครัว พ่อหรือแม่มีผิวผสมอาจจะทำให้คุณมีผิวผสมได้เหมือนกัน นอกจากนี้ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้มีผิวผสม และยังมีปัจจัยอื่น เช่น สภาพแวดล้อม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ใช้ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างที่อาจจะส่งผลต่อสุขภาพผิวหน้าทำให้เป็นผิวผสมได้ เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความรุนแรง หรือมีส่วนผสมของสารช่วยควบคุมความมันจนทำให้ผิวแห้ง และทำให้ต่อมไขมันจำเป็นต้องผลิตน้ำมันออกมาทดแทนความชุ่มชื้นที่หายไป
ซึ่งการที่ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาเมื่อผิวแห้ง สามารถทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน และเกิดเป็นสิวได้ ไม่ว่าจะเป็น สิวหัวดำ, สิวไม่มีหัว, สิวหัวช้าง หรือ สิวหัวหนอง ต้นเหตุล้วนมาจากการอุดตันของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเชื้อแบคทีเรีย
วิธีดูแลผิวสำหรับผิวผสม
วิธีดูแลผิวหน้าสำหรับผู้ที่มีผิวผสมอาจจะยุ่งยากกว่าผู้ที่มีผิวแห้ง หรือผิวมันเล็กน้อย เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 2 ตัว สำหรับบริเวณที่มีผิวมันและบริเวณที่มีผิวแห้ง โดยบริเวณที่มีผิวมันแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เนื้อเบาบาง เช่น เจล หรือ เซรั่ม และสำหรับบริเวณที่มีผิวแห้งสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อที่หนักกว่าได้ เช่น ครีมได้
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่บริเวณที่ผิวแห้งในระหว่างวันได้ เช่น สเปรย์น้ำแร่ แต่ควรระวังไม่ให้โดนบริเวณ T-zone ที่ผิวมีน้ำมันเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ทั้งนี้บริเวณที่ผิวมันสามารถใช้กระดาษซับมันช่วยซับน้ำมันบริเวณที่ผิวมันระหว่างวันได้

4. ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin)
ลักษณะของ ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) สามารถสังเกตได้จากผิวแดง ลอกเป็นขุย สิวเห่อ และอาการแสบคัน โดยที่ผิวจะมีอาการแพ้ทันทีหลังจากมีการสัมผัสหรือการกระตุ้น เช่น การปะทะลมแรง หรือ การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ได้มาตรฐาน
ผิวแพ้ง่ายส่วนใหญ่เกิดจากการที่เกราะป้องกันผิวหนัง (Skin barrier) อ่อนแอ หรือผิวขาดเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเซราไมด์เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวหนังชั้นนอก ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและช่วยป้องกันผิวจากอาการแพ้ ซึ่งการที่ผิวหน้าต้องเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะเป็นประจำสามารถทำให้ผิวขาดเซราไมด์ได้
เมื่อเกราะป้องกันผิวอ่อนแอจึงทำให้ผิวถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย สิ่งสกปรก สารเคมี และสภาพอากาศได้ง่าย และทำให้เกิดอาการแพ้เกิดผื่นแดง ตุ่มนูน และการระคายเคือง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอย่างอื่น ที่กระตุ้นให้เกิดผิวแพ้ง่าย ได้แก่
-
โรคผิวหนังบางชนิด
โรคผิวหนังบางชนิดสามารถทำให้ผิวเกิดผื่นแดง ตุ่มนูน หรืออาการแพ้ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เช่น ผิวหนังอักเสบ, ลมพิษจากการสัมผัส, Aquagenic Pruritus, Cutaneous Mastocytoses หรือ Carcinoid Syndrome
-
สิ่งแวดล้อม
ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ แดดลม ฝน อากาศร้อนหรือหนาวจัด และมลพิษ หากต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ผิวหน้าอาจถูกทำร้ายและเกิดอาการแพ้ได้ง่าย
-
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางตัว มีส่วนผสมของสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือสารเคมีที่เป็นอันตราย ซึ่งเมื่อใช้ไปสักระยะอาจจะส่งผลให้ผิวบอบบางแพ้ง่าย และอาจเกิดผลข้างเคียงอย่างอื่นตามมา
-
ผลข้างเคียงจากการรักษา
การรักษาโรคบางชนิดหรือการรับประทานยาบางชนิด และการรักษาสิว รักษารอยดำรอยแดงจากสิว ด้วยวิธีเลเซอร์หรืออุปกรณ์ทางแพทย์ อาจส่งผลข้างเคียงทำให้ผิวแห้งผิวบอบบาง แพ้ง่าย เกิดการระคายเคือง และไวต่อแสงมากขึ้น
วิธีดูแลผิวสำหรับผิวแพ้ง่าย
สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ เพื่อปกป้องผิวหน้าและลดการระคายเคือง ได้แก่
1.หลีกเลี่ยงการขัดหรือถูที่บริเวณหน้า แนะนำให้ใช้การลูบเบาๆแทนกันขัดถู
2.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำและทำความสะอาดใบหน้าด้วยน้ำร้อนจัด
3.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และพาราเบน เช่น สบู่, แชมพู, น้ำยาซักผ้า และสกินแคร์
4.ทุกครั้งที่ลองผลิตภัณฑ์ใหม่ แนะนำให้ทดสอบกับผิวบริเวณเล็กๆ ก่อนใช้จริง เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้
5.สำหรับผู้ที่ต้องการใช้น้ำหอมสามารถใช้น้ำมันหอมระเหย แทนน้ำหอมได้
ผู้ที่มีอาการแพ้ผลิตภัณฑ์ควรรีบไปพบแพทย์โดยทันทีเพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาได้ทันเวลา ไม่ควรปล่อยที่ไว้ อาจทำให้เกิดการลุกลามหรืออาการแย่ลงได้

5. ผิวปกติ (Normal Skin)
ลักษณะของผิวปกติ คือ มีรูขุมขนขนาดเล็ก ผิวเรียบเนียน สีอมชมพูไม่หมองคล้ำ และไม่ไวต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งนี้อาจจะมีสิวบ้างบางช่วง ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะสิวสามารถเกิดได้กับทุกคนและทุกสภาพผิว แต่ผิวปกติมีโอกาสเกิดสิวและปัญหาผิวหนังได้น้อยกว่าผิวประเภทอื่นๆ
ผิวปกติ คือผิวหน้าที่ความสมดุลระหว่างความมันและความชุ่มชื้นที่ดี อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ผิวปกติจะไม่แห้งหรือมันเยิ้มเกินไป ในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า Eudermic แทนผิวปกติ ซึ่งผิวปกติอาจจะมีความมันบริเวณ T-zone บ้างเล็กน้อย สำหรับผู้ที่มีผิวปกติเมื่ออายุมากขึ้น ผิวสามารถเปลี่ยนเป็นผิวแห้งกร้านได้ เนื่องจากการผลิตคอลลาเจนในร่างกายลดลงตามช่วงวัย
วิธีดูแลผิวสำหรับผิวปกติ
สำหรับผิวปกติสามารถใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นเพื่อรักษาสมดุลของผิวหน้า และสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันของผิวตอนกลางวันได้ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว และควรหลีกเลี่ยงที่มีสารอันตรายต่อผิวและก่อให้เกิดการอุดตัน ซึ่งการอุดตันภายในรูขุมขนมักมาพร้อมกับปัญหาสิว และผิวหนังอักเสบ
